Skin & Aesthetic
PRP
การนำเอาพลาสมาที่มีเกล็ดเลือดและ Growth Factor เข้มข้น มาฉีดกลับเข้าสู่ผิวของผู้เข้ารับการรักษา เพื่อช่วยกระตุ้นการซ่อมแซมเซลล์ ทำให้เซลล์เจริญเติบโต ฟื้นฟูผิวให้กลับมาแข็งแรง
PRP หรือ Platelet-Rich Plasma คือ พลาสมาที่อุดมไปด้วยเกล็ดเลือด ซึ่งได้จากการนำเลือดเพียงเล็กน้อยมาผ่านกระบวนการปั่นแยก โดยจะได้ส่วนประกอบของเลือดที่มีความเข้มข้นของเกล็ดเลือดเป็น 3-8 เท่า ของระดับเกล็ดเลือดปกติ
ทั้งยังมี Growth Factor ต่างๆ ที่ช่วยกระตุ้นการหายของแผลและซ่อมแซมเซลล์ ทำให้เซลล์เจริญเติบโตและยังช่วยทำลายเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ และกระตุ้นการฟื้นฟูผิวให้กลับมาแข็งแรง โดยเราจะนำเฉพาะพลาสมาที่มีเกล็ดเลือดและ
Growth Factor เข้มข้น มาฉีดกลับเข้าสู่ผิวของผู้เข้ารับการรักษา
PRP ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง
ฟื้นฟูเซลล์ผิว
ช่วยให้ใบหน้ากระจ่างใสผิวพรรณดูอ่อนเยาว์
ซ่อมแซมเซลล์
ที่เสื่อมสภาพให้กลับมาแข็งแรง
ร่องลึกดูตื้นขึ้น
ทำให้ผิวกลับมาอุ้มน้ำได้ดีขึ้น จึงลดร่องรอยลึกให้ดูตื้นขึ้น
จนรู้สึกได้
กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
ทำให้เกิดการฟื้นฟูผิว และเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง
ลดเลือนรอย
ทั้งรอยแดง และจุดด่างดำ ลดเลือนริ้วรอยต่างๆบนใบหน้า

การดูแลตัวเองหลังทำ PRP
- หลีกเลี่ยงการถู แกะเกา และไม่ควรประคบเย็นในบริเวณที่ทำการรักษา
- หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำ หรือออกกำลังกายหนักๆในช่วง 24 ชั่วโมงแรก
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ คาเฟอีน เครื่องดื่มร้อน และอาหารรสจัด ในช่วง 24 ชั่วโมงแรก เนื่องจากอาจทำให้เกิดอาการช้ำและบวมมากขึ้น
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งที่ทำให้คุณต้องโดนแสงแดด หรืออาบแดดเป็นเวลาอย่างน้อย 72 ชั่วโมง
- หลังจากการรักษาอาจเกิดการช้ำหรือบวมเล็กน้อย แต่อาการดังกล่าวจะหายเองในเวลา 2-3 วัน
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวดแก้อักเสบ หรือ อาหารเสริมที่มีผลต่อเกล็ดเลือด หรือการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน วิตามินอี น้ำมันตับปลา เพราะอาจทำให้อาการ ฟกช้ำรุนแรงขึ้น
- แนะนำให้ทำซ้ำ โดยเว้นระยะเวลาประมาณ 1 เดือน

ข้อดีของ PRP
PRP คือการรักษาบนพื้นฐานของกระบวนการรักษาตัวเองตามธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งได้มาจากเลือดของคนไข้เอง ดังนั้นจึงมีความปลอดภัย ไม่มีแผลหลังการผ่าตัด และแทบไม่มีโอกาสในการเกิดอาการแพ้หรือผลข้างเคียง การรักษาโดย PRP นั้นไม่ยุ่งยาก ใช้เวลาในการทำไม่นานเพียง 10 – 20 นาที คนไข้ไม่ต้องพักฟื้น และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันทีหลังจากที่ได้รับการทำ PRP
อย่างไรก็ตาม การทำ PRP ไม่ควรทำพร้อมกันกับการทำ Botox
หรือการฉีด Filler โดยควรเว้นระยะห่างกันสำหรับการทำ Botox
ประมาณ 1 สัปดาห์ และถ้าเป็นการฉีด filler ควรมีระยะห่าง
อย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ โดยอยู่ในการดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ